| หน้าแรก
| สารบัญ |
โครงงาน
| การประกอบ
| การบัดกรี
|
เรียนอิเล็กทรอนิกส์ | อุปกรณ์
| 555 | สัญลักษณ์
| ถามบ่อยๆ
| ลิ้งค์ที่น่าสนใจ
| กลับไอซีอี
|
หากจะมีส่วนให้ความรู้ให้ประโยชน์ต่อท่านบ้าง ติชม เสนอแนะ ถามปัญหา ได้ที่
ice@icelectronic.com
จะขอบคุณยิ่ง
วงจรนับ(Counting
Circuits)
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
หน้าต่อไป:
ปริมาณ(Quantities)และหน่วย(Units)
ควรดู:
ไอซีอนุกรม4000
(4000series ICs) |
ไอซีอนุกรม74 (74 series ICs) |
โลจิคเกท(Logic Gates)
เลขฐานสอง(Binary numbers)
สถานะโลจิค
(Logic states) |
จริง
(True) |
เท็จ
(False) |
1 |
0 |
สูง
(High) |
ต่ำ
(Low) |
+Vs |
0V |
เปิด
(On) |
ปิด
(Off) |
|
|
|
วงจรอิเล็กทรอนิกส์นับเป็นเลขฐานสอง
นี่เป็นระบบการนับที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะใช้ตัวเลขเพียงสองหลักคิอ 0 และ 1,
ซึ่งเหมือนกับสัญญาณโลจิคทุกประการ โดย
0 แทนค่าเท็จ(false)
และ 1 แทนค่าจริง(true)
คำว่าต่ำและสูงยังใช้สำหรับ 0 และ
1ตามลำดับดังแสดงในตาราง
การนับหนึ่ง, สอง,
สาม, สี่,
ห้า ในรูปแบบเลขฐานสองคือ 1, 10, 11, 100,
101.
เลขฐานสองเมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้นจะยาวอย่างรวดเร็ว
ทำให้ยากต่อการอ่าน
แต่โชคดีที่แทบไม่จำเป็นต้องอ่านเลขฐานสองมากกว่า4หลักต่อครั้งในวงจรนับ
ในเลขฐานสองแต่ละหลักแทนผลคูณของสอง (1, 2, 4, 8, 16
ฯลฯ)
ในลักษณะเดียวกับที่แต่ละหลักในเลขทศนิยม(ฐานสิบ)แทนผลคูณของสิบ(1, 10, 100,
1000 เป็นต้น)
ตัวอย่างเช่น 10110110 ในเลขฐานสองเท่ากับ
182 ในเลขทศนิยม(ฐานสิบ)
ค่าตัวเลข(Digit value): |
128 |
|
64 |
|
32 |
|
16 |
|
8 |
|
4 |
|
2 |
|
1 |
|
|
เลขฐานสอง(Binary number): |
1 |
|
0 |
|
1 |
|
1 |
|
0 |
|
1 |
|
1 |
|
0 |
|
|
ค่าทศนิยม(Decimal value): |
128 |
+ |
0 |
+ |
32 |
+ |
16 |
+ |
0 |
+ |
4 |
+ |
2 |
+ |
0 |
= |
182 |
บิท(Bits),
ไบต์ (bytes)
และ นิบเบิ้ล (nibbles)
เลขฐานสองแต่ละหลักเรียกว่าบิท(bit),
ดังนั้น 10110110 เป็นเลข 8บิท
บล็อคขนาด 8 บิท เรียกว่าไบต์
(byte)
และสามารถเก็บเลขฐานสองจำนวนสูงสุดได้ 11111111 = 255
ในรูปของทศนิยม คอมพิวเตอร์และไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC
ทำงานร่วมกับบล็อคขนาด 8 บิท
2 ไบต์(หรือมากกว่า),
ตัวอย่างเช่น PICs ทำงาน 16บิท
(สองไบต์ ) ซึ่งสามารถเก็บจำนวนสูงสุดได้
1111111111111111= 65535
ในรูปของทศนิยม
บล็อกที่มี 4
บิท เรียกว่า นิบเบิ้ล(nibble)
(ครึ่งไบต์!)
และสามารถเก็บจำนวนสูงสุดได้ 1111 = 15
ในรูปของทศนิยม วงจรนับจำนวนมากทำงานกับบล็อกขนาด
4
บิท เนื่องจากจำนวนบิทนี้จำเป็นต่อการนับถึง 9
ในรูปของทศนิยม (จำนวนเลขสูงสุดของ3
บิทคือ 7 ในรูปของทศนิยมเท่านั้น)
เลขฐานสิบหก(Hexadecimal)
เลขฐานสิบหก ( มักเรียกว่าเฮก'hex')
คือเลขฐาน16 ที่นับได้ 16หลัก
โดยเริ่มจากเลขทศนิยม 0-9 แล้วต่อด้วยตัวอักษร
A (10), B (11), C (12), D (13), E (14) และ F (15)
เลขฐานสิบหกแต่ละหลักเทียบเท่ากับเลขฐานสอง 4
หลัก ทำให้การแปลงระหว่างสองระบบค่อนข้างง่าย
เราอาจพบเลขฐานสิบหกที่ใช้กับ PIC
และระบบคอมพิวเตอร์ แต่โดยทั่วไปจะไม่ใช้ในวงจรนับอย่างง่าย
ตัวอย่าง:เลขฐานสอง 10110110
= B6
เลขฐานสิบหก = 182 เลขทศนิยม
หน้าบน |ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
ตัวเลข 4 บิท
ฐานสอง
Binary
D C B A |
ฐานสิบ
Decimal |
ฐาน16
Hex |
0 0 0 0
0 0 0 1
0 0 1 0
0 0 1 1
0 1 0 0
0 1 0 1
0 1 1 0
0 1 1 1
1 0 0 0
1 0 0 1
1 0 1 0
1 0 1 1
1 1 0 0
1 1 0 1
1 1 1 0
1 1 1 1 |
0
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15 |
0
1
2
3
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F |
ตารางด้านขวาแสดงตัวเลข 4 บิท และค่าทศนิยม
ตัว A,B,C,D
ใช้กันอย่างแพร่หลายในอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงถึงสี่บิทคือ
- A = 1, บิทที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด(least significant
bit) (LSB)
- B = 2
- C = 4
- D = 8, บิทที่สำคัญที่สุด (most
significant bit) (MSB)
ทศนิยมรหัสไบนารี่(Binary Coded Decimal)
BCD
ทศนิยมรหัสไบนารี่ BCDเป็นเวอร์ชั่นพิเศษของไบนารี่
4 บิท ซึ่งการนับจะรีเซ็ทเป็นศูนย์
(0000)
หลังจากนับครั้งที่เก้า (1001)
มันถูกใช้โดยตัวนับเดเคด(decade
counters) และแปลงได้ง่ายเพื่อแสดงเลขฐานสิบ 0-9
บนจอแสดงผล 7ส่วน (7-segment)
ตัวนับดีเคดหลายตัวที่ใช้ BCD
สามารถเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อแยกนับเลขฐานสิบหลักหนึ่ง หลักสิบ หลักร้อยและอื่นๆ
ซึ่งง่ายกว่าการพยายามแปลงเลขฐานสองขนาดใหญ่(เช่น 10110110) เพื่อแสดงค่าเลขฐานสิบ
อย่าสับสนระหว่าง BCD (Binary Coded Decimal)
กับอักษรฉลาก A,B,C,D ที่ใช้แทนเลขฐานสอง สี่หลัก
มันเป็นเรื่องบ้งเอิญที่มีตัวอักษร BCD เกิดขันในทั้งสอง
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
ตัวนับ(Counters)
|
สัญญาณนาฬิการูปคลื่นสี่เหลี่ยม |
|
สัญญาณเอาท์พุทกระเด้ง(bouncing)เมื่อสวิทช์ต่อ |
|
4-บิทเคาเตอร์ และ คล๊อคอินพุท
ในตัวอย่างนี้การนับเกิดขึ้นในช่วงขอบขาลง
(falling-edge)ของสัญญาณนาฬิกา(clock)
LED ติด = 1 LED ดับ = 0 |
ทุกตัวนับ(counters)ต้องการสัญญาณนาฬิกา(clock)คลื่นสี่เหลี่ยม(square
wave) เพื่อให้เกิดการนับ นี่คือรูปคลื่นดิจิตอลที่การเปลี่ยนผ่าน ระหว่างต่ำ (0V)
และสูง
(+Vs)มีความคม, เช่นเอาท์พุทจากวงจร
555 อะสเตเบิ้ล
ทุกสวิทช์เกิดการเด้ง(bounce) เมื่อหน้าสัมผัสปิดลงจะให้อนุกรมพัลซ์อย่างรวดเร็ว
การเชื่อมต่อสวิทช์โดยตรงกับอินพุทคล๊อคจะเกิดการนับซ้ำหลายครั้งเมื่อสวิทช์ต่อ
เพียงครั้งเดียว วิธีหนึ่งในการลดการเด้ง(debounce)ของสวิทช์ก็โดยใช้การทริกวงจร555 โมโนสเตเบื้ล
ในช่วงเวลาสั้นๆ (เช่น 0.1วินาที)
และใช้เอาท์พุทของโมโนสเตเบิ้ลขับเคลื่อนอินพุทสัญญาณนาฬิกา
แผนภาพบล็อกแบบเคลื่อนไหวแสดงสัญญาณนาฬิกาที่ขับเคลื่อนตัวนับ4บิท (0-15)
นับ พร้อมLEDs ที่เชื่อมต่อเพื่อแสดงสถานะของคล๊อคและเอาท์พุทตัวนับQA-QD (Q
บ่งชี้เอาท์พุท)
LED บนเอาท์พุท QA แรกจะกระพริบที่ความถี่ครึ่งหนึ่งของLEDนาฬิกา
ในความเป็นจริงความถี่ของแต่ละขั้นตอนของตัวนับคือครึ่งหนึ่งของความถี่ของขั้นตอนก่อนหน้า
เราสามารถดูรูปแบบนี้ได้เช่นกันในตารางด้านบนซึ่งแสดงตัวเลข 4บิท
สังเกตว่าเอาท์พุท QA เปลี่ยนสถานะทุกครั้งที่อินพุทนาฬิกาเปลี่ยนจากสูงไปต่ำ(นั่นคือเมื่อLED
นาฬิกาดับ) สิ่งนี้เรียกว่าขอบขาลง(falling-edge)
หากเราดูการนับอย่างใกล้ชิด จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของQB บนขอบขาลงของQA, QC
บนขอบขาลงของQB และต่อไป
อารจะประหลาดใจที่เห็นไดอะแกรมที่วาดต้วยอินพุททางด้านขวาและสัญญาณที่ไหลจากขวาไปซ้าย
ซึ่งตรงกันข้ามกับแบบแผนทั่วไปในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การวาดวงจรนับเช่นนี้
หมายความว่าเอาท์พุทอยู่ในลำดับเลขฐานสองที่ถูกต้อง เพื่อให้เราอ่านได้ง่าย
และคิดว่านี่มีประโยชน์มากกว่าการยึดติดกับแบบแผนซ้ายไปขวาตามปกติ
ตัวนับริบเปิ้ล(Ripple)และซิงโครนัส(synchronous
counters)
|
การทำงานของฟลิป-ฟลอป
สังเกตุว่าความถี่ของเอาท์พุทจะลดลงครึ่งหนึ่ง
ของความถี่อินพุท |
เคาเตอร์มีสองประเภทหลักคือ ริปเปิ้ล(ripple) และซิงโครนัส(synchronous)
ในวงจรง่ายๆปรากฎพฤติกรรมเกือบคล้ายกัน แต่โครงสร้างภายในต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตัวนับริปเปิ้ล(ripple) ประกอบด้วยห่วงโซ่ฟลิปฟลอป(flip-flops)
ที่เอาท์พุทแต่ละอันป้อนเข้าอินพุทของอันถัดไปเอาท์พุทฟลิปฟลอปเปลี่ยนสถานะทุกครั้งที่อินพุทเปลี่ยนจากสูงไปต่ำ(ขอบขาลง)
การจัดง่ายๆแบบนี้ทำงานได้ดี แต่มีความล่าช้าเล็กน้อย
เนื่องจากผลของริปเปิ้ลคล๊อคผ่านห่วงโซ่ของฟลิปฟลอป
ในวงจรส่วนใหญ่การหน่วงเวลาของริปเปิ้ลไม่เป็นปัญหา
เพราะสั้นเกินกว่าจะมองเห็นได้บนจอแสดงผล
อย่างไรก็ตามระบบโลจิคที่เชื่อมต่อกับเอาท์พุทตัวนับริปเปิ้ลจะเห็นการนับเท็จ(false)ในเวลาสั้นๆ
ซึ่งอาจสร้างความผิดพลาดในระบบโลจิคและอาจทำให้การทำงานของระบบหยุดชะงักได้
ตัวอย่างเช่น ตัวนับริปเปิ้ลที่เปลี่ยนจาก 0111 (7) ไปเป็น 1000 (8) จะแสดง 0110,
0100 และ 0000 ก่อน 1000 ในเวลาสั้นๆ
ตัวนับซิงโครนัส(synchronous)
มีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าเอาท์พุททั้งหมดเปลี่ยนพร้อมกันอย่างแม่นยำในแต่ละพัลซ์สัญญาณนาฬิกา
เพื่อหลีกเลี่ยงการนับเท็จสั้นๆที่เกิดกับตัวนับริปเปิ้ล
คล๊อคอินพุทขอบขาขึ้น(Rising-edge)
และขอบขาลง(falling-edge)
การนับเกิดขึ้นเมื่อสัญญาณนาฬิกา(clock)เปลี่ยนสถานะ
- ซิงโครนัสเคาเตอร์ (synchronous counters)ส่วนใหญ่
เกิดการนับในช่วงขาขึ้น(rising-edge)
ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากต่ำไปสูงของสัญญาณนาฬิกา
- ริปเปิ้ลเคาเตอร์(ripple counters)ส่วนใหญ่ เกิดการนับในช่วงขาลง (falling-edge)
ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนจากสูงไปต่ำของสัญญาณนาฬิกา
อาจจะดูแปลกที่ตัวนับริปเปิ้ลใช้ขอบขาลง
แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้ทำให้ง่ายต่อการเชื่อมโยงตัวนับ
เนื่องจากบิทที่สำคัญที่สุด(MSB)ของตัวนับหนึ่งสามารถขับเคลื่อนสัญญาณนาฬิกาของตัวนับถัดไปได้
สิ่งนี้ใช้ได้เพราะบิทถัดไปต้องเปลี่ยนสถานะ เมื่อบิทก่อนหน้าเปลี่ยนจากสูงไปต่ำ -จุดที่การดำเนินการต้องเกิดขึ้นกับบิทถัดไป
ตัวนับแบบซิงโครนัสมักจะมีการดำเนินการออกและเข้าในขาสำหรับเชื่อมโยงตัวนับโดยไม่เกิดความล่าช้าของริปเปิ้ลใดๆ
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
การรีเซ็ทตัวนับ(Resetting a counter)
ตัวนับสามารถรีเซ็ทเป็นศูนย์ก่อนนับจำนวนสูงสุด โดยเชื่อมต่อเอาท์พุทตัวหนึ่ง(หรือมากกว่า)เข้ากับอินพุทรีเซ็ท
โดยใช้เกทAND เพื่อรวมเอาท์พุทหากจำเป็นหากอินพุทรีเซ็ท แอคทีฟ-ต่ำ(active-low)
ต้องใช้เกท NOT หรือ NAND เพื่อสร้างเอาท์พุทต่ำตามติองการ
เมื่อเห็นเส้นขีดบน reset แสดงว่าแอคทีฟ-ต่ำ
ตัวอย่างเช่น
(อ่านว่า รีเซ็ท-บาร์)
โดยปกติแล้วฟังก์ชั่นรีเซ็ทจะเกิดขึ้นทันที
และจะตัองรีเซ็ทเมื่อนับครั้งถัดไปเกินค่าสูงสุดที่ต้องการ เช่น หากจะนับ 0-5
(0000-0101) จะต้องรีเซ็ทที่ 6 (0110)
ตัวนับซิงโครนัสบางตัวมีการรีเซ็ทแบบซิงโครนัส(synchronous reset)
ซึ่งเกิดขึ้นในพัลซ์นาฬิกาถัดไป แทนที่จะเกิดขึ้นทันที
นี่เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากต้องรีเซ็ทที่จำนวนสูงสุดที่ต้องการ เช่น นับ 0-5
(0000-0101), รีเซ็ทที่ 5 (0101).
การตั้งค่า(Presetting)
ตัวนับบางตัวสามารถตั้งค่าล่วงหน้าได้ โดยแสดงที่อินพุท A-D
และเปิดใช้งานอินพุทที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เพื่อโหลดตัวเลขลงในตัวนับ
ด้วยการทำให้อินพุท
A-D ทั้งหมดต่ำ เราสามารถใช้สิ่งนี้รีเซ็ทตัวนับเป็นศูนย์
การแบ่งหารความถี่(Frequency division)
สามารถใช้ตัวนับเพื่อลดความถี่ของสัญญาณอินพุท(นาฬิกา) แต่ละขั้นตอนของตัวนับ
ลดความถี่ลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นสำหรับตัวนับ 4-บิท (0-15) QA คือ
1/2, QB คือ 1/4, QC คือ 1/8
และ QD คือ 1/16
ของความถี่สัญญาณนาฬิกา การหารด้วยตัวเลขที่ไม่ใช่ตัวเลขยกกำลัง 2
ทำได้โดยการรีเซ็ทตัวนับ
การแบ่งความถี่เป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของตัวนับที่มีบิทมากกว่า4
บิทและเอาท์พุทมักจะระบุว่าเป็น Q1, Q2 และต่อไป Qn คือขั้นที่
n ของตัวนับซึ่งเป็นตัวแทนของ 2n ตัวอย่างเช่น Q4 คือ 24 = 16
(1/16 ของความถี่สัญญาณนาฬิกา) และ Q12 คือ 212 = 4096
(1/4096 ของความถี่สัญญาณนาฬิกา)
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
ตัวถอดรหัส(Decoders)
ชนิดที่ได้รับความนิยมที่สุดคือตัวถอดรหัส1-ใน-10
ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายของโลจิคเกท เพื่อทำให้หนึ่งในสิบของเอาท์พุทQ0-9
มีค่าสูง(หรือต่ำ) เพื่อตอบสนองต่ออินพุทA-D ของ BCD (ไบนารี่โค๊ดเดซิมอล)
ตัวอย่างเช่นอินพุทของไบนารี่ 0101 (=5) จะเปิดที่เอาท์พุท Q5
สามารถใช้ตัวถอดรหัสแสดงการนับอย่างง่ายและสำหรับการสลับ LEDs ตามลำดับ
เอาท์พุทต้องไม่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยตรง
แต่สามารถใช้ไดโอดเพื่อรวมเข้าด้วยกันดังที่แสดงในแผนภาพ
ตัวอย่างการใช้ไดโอดเพื่อรวมเอาท์พุทตัวที่ 2(Q1) และตัวที่ 4(Q3) จะทำให้ LED
กระพริบสองครั้งตามด้วยช่องว่างที่ยาวขึ้น
แผนภาพด้านบนแสดงสิ่งนี้สำหรับตัวถอดรหัสที่เอาท์พุทต่ำเมื่อเปิดใช้งาน(เช่น
7442)
และแผนภาพด้านล่างสำหรับตัวถอดรหัสที่เอาท์พุทสูงเมื่เปิดใช้งาน(เช่น
4028).
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
ตัวขับตัวแสดงผล7ส่วน(7-segment display drivers)
|
ดีเคดเคาเตอร์(Decade counter)
กับตัวขับจอแสดงผลและจอแสดงผล
7ส่วน(7-segment) |
อินพุท A-D ของไดรเวอร์จอแสดงผลเชื่อมต่อกับ BCD (ไบนารี่โค๊ดเดซิมอล)
เอาท์พุท QA-D จากตัวนับดีเคด(decade counter)
เครือข่ายของโลจิคเกทในไดรเวอร์ตัวแสดงผล ทำให้เอาท์พุท a-g
สูงหรือต่ำตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดแสงสว่างแก่ส่วน a-g ที่ต้องการของจอแสดงผล 7ส่วน
โดยต้องใช้ตัวต้านทานต่ออนุกรมกับแต่ละเซกเมนท์เพื่อป้องกันLEDs ค่า330เหมาะสมกับจอแสดงผลส่วนใหญ่ที่ใช้ไฟเลี้ยง
4.5V ถึง 6V
พึงระวังว่าบางครั้งตัวต้านทานเหล่านี้ไม่แสดงในแผนภาพวงจรแต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ!
จอแสดงผล7ส่วนมีสองชนิดคือ
- ชนิดแอโหนดร่วม(Common Anode) (CA หรือ SA) ที่มีแอโหนด LED
ทุกเซ็กเมนท์ต่อเชื่อมด้วยกัน
ตัวแสดงผลชนิดนี้ต้องใช้ตัวขับที่มีเอาท์พุทต่ำทำให้เซ็กเมนท์ติด เช่น
7447
โดยเชื่อมต่อแอโหนดร่วมกับ+Vs
- ชนิดแคโถดร่วม(Common Cathode) (CC หรือ SC) ที่มีแคโถด LED
ทุกเซ็กเมนท์ต่อเชื่อมด้วยกัน
ตัวแสดงผลชนิดนี้ต้องใช้ตัวขับที่มีเอาท์พุทสูงทำให้เซ็กเมนท์ติด เช่น
4511 โดยเชื่อมต่อแคโถดร่วมกับ 0V
แอโหนด/แคโถด ร่วมมักมีขาให้ต่อใช้2ขา จอแสดงผลมีจุดทศนิยม(DP)ด้วย
แต่ไดรเวอร์จอแสดงผลไม่ได้ควบคุม
เซ็กเมนท์ของจอแสดงผลขนาดใหญ่ใช้LEDสองตัวต่ออนุกรมกัน
สำหรับการเชื่อมต่อจอแสดงผลโปรดดูแค็ตตาล็อกหรือแผ่นดาต้า(data
sheet)ของผู้ผลิต
มัลติเพล็กซ์(Multiplexing)
หากใช้ตัวแสดงผล7ส่วนหลายตัวเพื่อเลขหลายหลัก มักใช้การมัลติเพล็กซ์(multiplexing)
คือระบบการสลับเพื่อให้ตัวนับเดเคด(decade counter)ทั้งหมด
แชร์ไดรเวอร์แสดงผลเดียวร่วมกัน ซึ่งเชื่อมต่อกับจอแสดงผลทั้งหมด
เอาท์พุทของตัวนับแต่ละตัวเชื่อมต่อกับอินพุทของไดรเวอร์จอแสดงผล
และในขณะเดียวกันก็เชื่อมต่อขาร่วมแอโหนด/แคโถดของจอแสดงผล7ส่วน ที่สอดคล้องกัน
เพื่อให้ไฟจอแสดงผลเพียงดวงเดียวติดในแต่ละครั้ง การสลับทำอย่างรวดเร็วมาก
(โดยทั่วไปคือ 400 - 1000Hz) และกระแสเซ็กเมนท์มีขนาดมากกว่าปกติ
ดังนั้นจอแสดงผลจึงแสดงอย่างต่อเนื่องและสว่างปกติ
การมัลติเพล็กซ์ต้องใช้ไอซีในการสลับและวิธีการนี้ทำให้วงจรสมบูรณ์ใช้ไอซีน้อยกว่าการมีไดรเวอร์ตัวแสดงผลแยกแต่ละตัวสำหรับจอแสดงผล
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
การเชื่อโยงตัวนับ(Linking Counters)
ตัวนับอาจเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในห่วงโซ่เพื่อนับจำนวนที่มากขึ้น
มันอาจน่าสนใจที่จะใช้ตัวนับขนาด12 บิท หรือ 14 บิท
แต่การแปลงเลขฐานสองขนาดใหญ่เป็นเลขฐานสิบนั้นไม่สามารถทำได้
เราต้องใช้ห่วงโซ่ตัวนับเดเคด(decade) (0-9) ซึ่งใช้ BCD (ไบนารี่โค๊ดเดซิมอล)
เพื่อทำใหัการแปลงเป็นเลขฐานสิบได้ง่ายมากคือ ตัวแรกนับหลักหน่วย
ตัวที่สองนับหลักสิบ ตัวที่สามนับหลักร้อยและต่อๆไป
ไอซีตัวนับแบบคู่บางเบอร์มีตัวนับแยกกันสองตัว
หากต้องการเชื่อมโยงตัวนับเข้าด้วยกันต้องต่อภายนอก(ไม่มีการเชื่อมโยงไว้ภายใน)
วิธีการเชื่อมโยงตัวนับขึ้นอยู่กับลักษณะของตัวนับ
ไดอะแกรมด้านล่างแสดงการจัดแบบทั่วไปสำหรับตัวนับริปเปิ้ลมาตรฐานและตัวนับแบบซิงโครนัส
แต่สิ่งสำคัญคือต้องอ่านข้อมูลโดยละเอียดสำหรับตัวนับเฉพาะแบบ
และศึกษาจากดาต้าชีทถ้าจำเป็น
การเชื่อมโยงตัวนับริบเปิ้ล(Linking ripple counters)
แผนภาพด้านล่างแสดงวิธีการเชื่อมโยงตัวนับริปเปิ้ลมาตรฐาน สังเกตว่าเอาท์พุทสูงสุด(QD)ของแต่ละตัวนับขับเคลื่อนเข้าอินพุทนาฬิกา(CK)
ของตัวนับถัดไป
วิธีนี้ใช้ได้เพราะตัวนับริปเปิ้ลมีอินพุทนาฬิกาแบบคล๊อคบาร์คือแอคทีฟ-ต่ำ(active-low)
ซึ่งหมายถึงว่าเกิดการนับต่อไปเมื่อสัญญาณนาฬิกาต่ำที่ขอบขาลง(falling-edge)
จำไว้ด้วยว่าตัวนับริปเปิ้ลทั้งหมดจะมีการหน่วงเวลาเล็กน้อยก่อนเอาท์พุทตัวหลังตอบสนองต่อสัญญาณนาฬิกา
โดยเฉพาะกับห่วงโซ่ตัวนับที่ยาว นี่ไม่ใช่ปัญหาในวงจรขับแสดงผลแบบธรรมดา
แต่อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในระบบโลจิคที่เชื่อมต่อกับเอาท์พุทตัวนับ
การเชื่อมโยงตัวนับซิงโครนัส(Linking synchronous counters)
แผนภาพด้านล่างแสดงวิธีการเชื่อมโยงตัวนับซิโครนัสมาตรฐาน
สังเกตว่าอินพุทนาฬิกา(CK)เชื่อมโยงกันหมด และแครี่เอาท์(CO)
ใช้ป้อนแครี่อิน(CI) ของตัวนับ
สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าห่วงโซ่ตัวนับทั้งหมดซิงโครนัสกัน
โดยทุกเอาท์พุทจะเปลี่ยนพร้อมกัน แครี่อิน(CI)
ของตัวนับอันแรกควรต่ำหรือสูง ต้องเหมาะกับไอซีตัวนับที่ใช้
หน้าบน |
ฐานสอง(Binary)
| 4-บิท(bit) |
บีซีดี(BCD) |
ตัวนับ(Counters)
| ริบเปิ้ล/ซิงโครนัส(Ripple/Synchronous) |
รีเซ็ท(Reset) |
แบ่งหารความถี่(Freq. division) |
ตัวถอดรหัส(Decoders) |
ขับตัวแสดงผล(Display drivers) |
การเชื่อมโยง(Linking)
หน้าต่อไป:
ปริมาณ(Quantities)และหน่วย(Units)
|
เรียนอิเล็กทรอนิกส์
อิเล็คทรอนิกส์เบื้องต้น,
www.icelectronic.com
ไอซีอีแปลและเรียบเรียง
เพื่อเผยแพร่สำหรับคนไทย ผู้ที่มีอิเล็กทรอนิกส์ในหัวใจ ขอขอบคุณ Mr. James Hewes