หน้าต่อไป:
วงจรเวลา555
และ 556
ควรดู: ความจุ |
ความต้านทาน
| กฎของโอห์ม |
การแบ่งแรงดัน
ด้วย
|
|||
|
|||
V = แรงดัน
หน่วยโวลท์ (V) I = กระแส หน่วยแอมป์ (A) Z = อิมพีแดนซ์ หน่วยโอห์ม () R = ความต้านทาน หน่วยโอห์ม () |
อิมพีแดนซ์มีความซับซ้อนมากกว่าความต้านทาน
เพราะหากความถี่ของกระแสที่ไหลผ่านวงจรเปลี่ยนแปลง
จะมีผลต่ออิมพีแดนซ์ของตัวความจุและตัวเหนี่ยวนำ
หรืออาจกล่าวได้ว่า
ค่า อิมพีแดนซ์เปลี่ยนแปลงตามความถี่!
แต่การเปลี่ยนแปลงความถี่จะไม่มีผลกระทบต่อตัวต้านทานแต่อย่างใด
คำว่า 'อิมพีแดนซ์'มักถูกใช้บ่อยกับวงจรง่ายๆซึ่งไม่มีตัวความจุหรือความเหนี่ยวนำ(ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร) ตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึง 'อินพุทอิมพีแดนซ์' หรือ 'เอาท์พุทอิมพีแดนซ์' ของวงจร ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความสับสนสำหรับผู้ที่เิ่ริ่มศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็ให้นึกเสียว่าอิมพีแดนซ์เป็นเพียงอีกคำหนึ่งที่เรียกความต้านทาน
มีปริมาณทางไฟฟ้าสี่ตัวที่เป็นสิ่งกำหนดอิมพีแดนซ์
(Z) ของวงจรคือ:
ความต้านทาน (R),
ความจุ
(C),
ความเหนี่ยวนำ
(L) และ ความถี่
(f).
อิมพีแดนซ์สามารถแยกเป็นสองส่วนคือ:
ความจุและความเหนี่ยวนำทำให้เกิดการเคลื่อนเฟส(phase shift)* ระหว่างกระแสและแรงดัน ทำให้ความต้านทานและรีแอคแตนซ์ไม่สามารถรวมกันเป็นอิมพีแดนซ์ด้วย วิธีง่ายๆ โดยต้องรวมกันทางเวคเตอร์ ซึ่งรีแอคแตนซ์จะตั้งฉากกับความต้านทานดังแสดงในรูป
*
การเคลื่อนเฟส(Phase shift)
หมายถึงกระแสและแรงดันไม่ก้าวไปพร้อมกัน
ให้ลองนึกถึงการประจุของตัวเก็บประจุ
เมื่อแรงดันคร่อมตัวเก็บประจุเป็นศูนย์
กระแสจะสูงสุด
แต่เมื่อตัวเก็บประจุได้ประจุและได้ค่าแรงดันสูงสุด
กระแสก็จะต่ำสุด
การประจุและคลายประจุเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสลับกันโดยกระแสจะถึงค่าสูงสุดก่อนแรงดันถึงค่าสูงสุด
เราจึงเรียกว่ากระแสนำหน้าแรงดัน
รีแอคแตนซ์มีสองชนิดคือ: รีแอคแตนซ์ความจุ (Xc) และรีแอคแตนซ์ความเหนี่ยวนำ (XL).
รีแอคแตนซ์ทั้งหมด (X) คือผลต่างระหว่างรีแอคแตนซ์ทั้งสองคือ: X = XL - Xc
Xc = | 1 | ในเมื่อ: | Xc =
รีแอคแตนซ์มีหน่วยเป็นโอห์ม
() f = ความถี่มีหน่วยเป็นเฮิรทซ์(Hz) C = ความจุมีหน่วยเป็นฟารัด (F) |
2fC |
ตัวอย่างเช่น:
ตัวเก็บประจุขนาด
1µF
มีค่ารีแอคแตนซ์
3.2k
ที่สัญญาณความถี่
50Hz
แต่เมื่อสัญญาณมีความถี่สูงขึ้นเป็น
10kHz
รีแอคแตนซ์จะเหลือเพียง
16
XL = 2fL | ในเมื่อ: | XL =
รีแอคแตนซ์มีหน่วยเป็นโอห์ม () f = ความถี่มีหน่วยเป็นเฮิรทซ์(Hz) L = ความเหนี่ยวนำมีหน่วยเป็นเฮนรี่ (H) |
ตัวอย่างเช่น:
ตัวเหนี่ยวนำค่า1mH
มีรีแอคแตนซ์เพียง
0.3
ที่สัญญาณความถี่
50Hz
แต่เมื่อสัญญาณมีความถี่สูงขึ้นเป็น
10kHz
รีแอคแตนซ์จะเป็น
63
โดยปกติเราจะใช้คำว่า 'อินพุทอิมพีแดนซ์' เป็นกรณีทั่วไปแม้ว่าจะมีแต่ความต้านทานในวงจร และก็สามารถใช้คำว่า 'ความต้านทานอินพุท' แทนได้ ซึ่งความจริงก็สมเหตุสมผลถ้าที่จะเข้าใจว่า อินพุทอิมพีแดนซ์ก็เป็นเพียงความต้านทานที่สัญญาณอินพุทมีความถี่ต่ำ (ต่ำกว่า 1kHz)
การที่ความถี่มีผลต่อความจุและความเหนี่ยวนำ จึงทำให้อินพุทอิมพีแดนซ์มีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามความถี่ โดยทั่วไป ผลต่อความจุและความเหนี่ยวนำจะมีความสำคัญที่สุด ที่ความถี่สูงๆ
ปกติ อินพุทอิมพีแดนซ์จะต้องสูง
อย่างน้อยเป็นสิบเท่าของเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ของวงจร
(หรืออุปกรณ์)ที่ป้อนสัญญาณเข้าอินพุท
ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าอินพุทไม่โอเว่อร์โหลดแหล่ง
กำเนิดสัญญาณซึ่งจะทำให้ขนาดสัญญาณถูกลดลง
วงจรสมมูลของเอาท์พุทใดๆ |
โดยปกติเราจะใช้คำว่า 'เอาท์พุทอิมพีแดนซ์' เป็นกรณีทั่วไปแม้ว่าจะมีแต่ความต้านทานในวงจร และก็สามารถใช้คำว่า 'ความต้านทานเอาท์พุท' แทนได้ ซึ่งความจริงก็สมเหตุสมผลที่จะเข้าใจว่า เอาท์พุทอิมพีแดนซ์ก็เป็นเพียงความต้านทานที่สัญญาณเอาท์พุทมีความถี่ต่ำ (ต่ำกว่า1kHz)
การที่ความถี่มีผลต่อความจุและความเหนี่ยวนำ
จึงทำให้เอาท์พุทอิมพีแดนซ์มีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามความถี่
โดยทั่วไป
ผลต่อความจุและความเหนี่ยวนำจะมีความสำคัญที่สุด
ที่ความถี่สูงๆ
ปกติ เอาท์พุทอิมพีแดนซ์จะต้องมีค่าต่ำ
คือน้อยกว่าอิมพีแดนซ์ของโหลดที่ต่อกับเอาท์พุทเป็นสิบเท่า
หากเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ค่อนข้างสูงมันจะไม่สามารถป้อน
สัญญาณที่
แรงเพียงพอให้โหลด
เพราะแรงดันของสัญญาณจะสูญเสียมากภายในวงจรขับกระแสผ่านเอาท์พุทอิมพีแดนซ์
ZOUT ตัวโหลดสามารถเป็นอุปกรณ์เดี่ยว
หรืออินพุทอิมพีแดนซ์
ของวงจรอื่นก็ได้
ลักษณะของเอาท์พุทอิมพีแดนซ์และโหลดสามารถเกิดขึ้นได้
3 กรณีคือ
โหลดอาจเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวหรือ อินพุทอิมพีแดนซ์ของวงจรอื่น |
-
เอาท์พุทอิมพีแดนซ์ต่ำกว่า
ZOUT << ZLOAD
VSOURCE
ส่วนใหญ่จะปรากฎคร่อมโหลด
จะมีการสูญเสียแรงดันขับกระแสผ่านเอาท์พุทอิมพีแดนซ์น้อยมาก
ปกติวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด
-
เอาท์พุทอิมพีแดนซ์สูงกว่า
ZOUT >> ZLOAD
มีเพียงส่วนน้อยที่ปรากฎตกคร่อมโหลด
แทบทั้งหมดจะสูญเสียในการขับกระแสผ่านเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ วิธีนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ
ตัวแปลงแรงดัน |
วงจรสมมูลของตัวแปลงแรงดัน |
ตัวแปลงแรงดัน LDR |
เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ เอาท์พุทอิมพีแดนซ์ของตัวแบ่งแรงดันจะต้องน้อยกว่าอินพุทอิมพีแดนซ์ของวงจรที่ต่อเข้า ในทางอุดมคติเอาท์พุทอิมพีแดนซ์ต้องน้อยกว่าอินพุทอิมพีแดนซ์ เป็นสิบเท่า
ในวงจรสมมูลของตัวแบ่งแรงดัน
เอาท์พุทอิมพีแดนซ์เป็นเพียงความต้านทานเราจึงสามารถใช้คำว่า'ความต้านทานเอาท์พุท'
โดย ROUT
มีค่าเท่ากับความต้านทานสองตัว(R1
และ R2)
ต่อกัน แบบขนาน:
เอาท์พุทอิมพีแดนซ์, ROUT = | R1 × R2 | |
R1 + R2 |
แหล่งจ่ายแรงดัน VSOURCE ในวงจรสมมูลคือค่าแรงดันเอาท์พุท Vo เมื่อไม่มีอะไรต่อกับเอาท์พุท(และจึงไม่มีกระแสเอาท์พุท) ลักษณะนี้เราเรียกว่าแรงดัน'วงจรเปิด'
แหล่งแรงดัน, VSOURCE = | Vs × R2 | |
R1 + R2 |
ในตัวแบ่งแรงดัน
ตัวต้านทานตัวหนึ่งก็คือ
อินพุทของตัวแปลง
เช่นตัว LDR
ดังนั้นเมื่อความต้านทานของตัวแปลง
เปลี่ยนแปลงจะทำให้ทั้ง
VSOURCE และ ROUT
เปลี่ยนไปด้วย
เพื่อ
ตรวจสอบ
ROUT
ต่ำพอหรือไม่เราจะต้องลองหาค่าสูงสุดที่เกิดขึ้นเมื่อตัวแปลงมีความต้านทานสูงสุด(มันจะมีผลเมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวแปลงถูกต่อเข้ากับตัวแบ่งแรงดัน)
ตัวอย่าง :
หาก R1 = 10k
และ R2 คือตัว LDR
มีความต้านทานสูงสุด
1M,
ROUT = 10k × 1M / (10k + 1M)
= 9.9k (ประมาณ
10k)
นั่นคือโหลดหรือความต้านทานอินพุทที่จะมาต่ออย่างน้อยต้อง
100k.