หน้าต่อไป:
ออสซิลโลสโคป
(CROs)
ควรดู: ไดโอด
| แหล่งจ่ายกำลัง
ด้วย
เอซี(AC) หมายถึง ไฟฟ้ากระแสสลับ และดีซี (DC)หมายถึง ไฟฟ้ากระแสตรง แรงดันและสัญญาณไฟฟ้าก็อิงถึงเอซีและดีซีด้วยถึงแม้จะไม่ใช่กระแส! ตัวอย่างเช่น: แหล่งจ่ายกำลัง 12V AC เป็นแรงดันกระแสสลับ(ซึ่งจะทำให้ไฟกระแสสลับไหล) สัญญาณไฟฟ้า คือแรงดันหรือกระแสซึ่งเป็นพาหะของข้อมูลข่าวสาร โดยทั่วไปจะเป็นแรงดัน แต่ก็สามารถใช้เรียกได้ทั้งกระแส และ แรงดันในวงจร
เอซี(AC)จากแหล่งจ่ายกำลัง รูปร่างแบบนี้เรียกว่าคลื่นซายน์ |
สัญญาณสามเหลี่ยมเป็นเอซี(AC)เพราะเปลี่ยนแปลงระหว่างบวก (+)และลบ (-) |
แรงดันกระแสสลับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องระหว่างบวก(+) และลบ(-)
อัตราการเปลี่ยนทิศทางเรียกว่าความถี่ของไฟกระแสสลับ มีหน่วยวัดเป็นเฮิร์ท(Hz) ซึ่งก็คือจำนวนรอบคลื่นต่อ หนึ่งวินาที
ไฟฟ้าหลักในประเทศไทยใช้ความถี่ 50Hz.
ดูรายละเอียดข้างล่างสำหรับ คุณสมบัติ ของสัญญาณ
แหล่งจ่ายไฟกระแสสลับเหมาะสำหรับจ่ายกำลังให้อุปกรณ์บางอย่าง
เช่น
หลอดไฟและเครื่องกำเนิดความร้อน
แต่วงจรอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ต้องการเลี้ยงด้วยไฟกระแสตรงคงที่
(ดูข้างล่าง)
ดีซี(DC)สม่ำเสมอ(steady) จากแบตเตอรี่หรือแหล่งจ่ายกำลังคุมค่า ในอุดมคติสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ |
ดีซี(DC)เรียบ(smooth) จากแหล่งจ่ายกำลังที่มีการกรอง เหมาะสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ |
ดีซี(DC)ไม่เรียบ(varying) จากแหล่งจ่ายกำลังที่ไม่ได้กรอง ไม่เหมาะสำหรับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ |
แรงดันกระแสตรงเป็นบวก หรือเป็นลบก็ได้ แต่อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
วงจรอิเล็กทรอนิกส์ปกติต้องเลี้ยงด้วยไฟกระแสตรงสม่ำเสมอและคงที่ ที่ค่าหนึ่งหรือไฟกระแสตรงที่เรียบมีค่าเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่าริบเปิ้ลเพียง เล็กน้อย
เซลล์ แบตเตอรี่ และแหล่งจ่ายกำลังแบบคุมค่า ให้ไฟกระแสตรงแบบสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นดีซีในอุดมคติสำหรับวงจร อิเล็กทรอนิกส์
แหล่งจ่ายกำลังประกอบด้วย
หม้อแปลง
ซึ่งทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับหลักให้ได้แรงดันกระแสสลับที่เหมาะสม
จากนั้นก็
แปลงไฟกระแสสลับให้เป็นไฟกระแสตรงด้วย
ตัวเรียงกระแสแบบบริดจ์
แต่ไฟที่ได้ยังไม่เรียบและไม่เหมาะที่จะใช้กับวงจร
อิเล็กทรอนิกส์
แหล่งจ่ายกำลังบางแบบจะมี
ตัวเก็บประจุ
เพื่อกรองไฟให้เรียบ
ซึ่งเหมาะสำหรับใช้กับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความไวน้อย
รวมทั้งใช้กับโครงงานส่วนใหญ่ของเรา
หลอดไฟ ตัวทำความร้อนและมอเตอร์ ทำงานด้วยไฟเลี้ยงกระแสตรงได้
สำหรับรายละเอียดมากกว่านี้กรุณาดูที่หน้า
แหล่งจ่ายกำลัง
กราฟแรงดัน-เวลาทางด้านขวาแสดงถึงคุณสมบัติต่างๆของสัญญาณไฟฟ้า นอกจากนี้แล้วยังแสดงความถี่ซึ่งเท่ากับ จำนวนรอบต่อวินาที
แผนภาพนี้แสดงคลื่นรูปซายน์แต่คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสัญญาณอื่นๆที่มีรูปร่างคงที่ได้
ความถี่ = | 1 | และ | คาบเวลา = | 1 |
คาบเวลา | ความถี่ |
ความถี่ของไฟฟ้าหลักในประเทศไทยคือ
50Hz,
ดังนั้นจึงมีคาบเวลาเท่ากับ
1/50 = 0.02s = 20ms.
จึงต้องใช้ค่าแรงดันรูทมีนสแควร์แทน (VRMS) ซึ่งคือ 0.707 ของแรงดันยอด (Vpeak):
สมการนี้ใช้กับกระแสด้วย
ค่านี้เป็นจริงเฉพาะคลื่นรูปซายน์(
เป็นรูปคลื่นธรรมดาที่สุดของไฟฟ้ากระแสสลับ)คลื่นรูปร่างอื่นต้องใช้ค่าที่ต่างออกไปไม่ใช่
0.707 และ1.414
ค่าอาร์เอ็มเอสเป็นค่าประสิทธิผลของแรงดันหรือกระแสที่เปลี่ยนแปลง สามารถเทียบเท่าได้กับค่าดีซี(DC)สม่ำเสมอหรือคงที่ ซึ่งให้ผลเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น ต่อหลอดกับไฟเอซี 6V RMS จะให้ความสว่างเท่ากันกับหลอดที่ต่อกับไฟดีซีสม่ำเสมอ 6V อย่างไรก็ตามแสงจะหรี่ลงหากต่อหลอดกับไฟเอซีแรงดันยอด 6V เพราะเมื่อคิดเป็นค่า RMS จะได้เท่ากับ 4.2V เท่านั้น( เทียบได้กับไฟดีซีสม่ำเสมอ 4.2V )
มันเป็นการช่วยให้ง่ายหากคิดว่าค่าอาร์เอ็มเอสเป็นค่าแบบเฉลี่ย แต่ก็ไม่ใช่ค่าเฉลี่ยที่แท้จริง! ความจริงค่าเฉลี่ยของแรงดัน(หรือกระแส)ของสัญญาณเอซีจะเท่ากับศูนย์ เพราะส่วนบวกกับส่วนลบ จะหักล้างกันหมด
ค่าไฟเอซีที่วัดด้วยมิเตอร์เป็นค่าอาร์เอ็มเอสหรือค่าแรงดันยอด?
โวลท์มิเตอร์และแอมป์มิเตอร์เอซีแสดงค่าอาร์เอ็มเอส(RMS) มิเตอร์ดีซี(DC)ก็แสดงค่าอาร์เอ็มเอส(RMS)เช่นกันเมื่อต่อวัดไฟดีซีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าความถี่น้อยกว่า 10Hz เราจะเห็นมิเตอร์แกว่งไปมา
ตัวอย่างเช่น ไฟ'6V AC' หมายถึง 6V RMSและคิดเป็นแรงดันยอดเท่ากับ 8.5V ไฟหลักในประเทศไทยคือ 220V AC หมายถึง 220V RMS ดังนั้นแรงดันยอดของไฟหลักประมาณเท่ากับ 311V
ค่าอาร์เอ็มเอสคือค่าไฟกระแสสลับที่เทียบเท่าไฟกระแสตรง
วิธีหาค่าอาร์เอ็มเอสจากคลื่นรูปซายน์
ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ดังนี้
ตอนแรกให้ยกกำลังสองค่าทุกจุดทั้งด้านบวกและด้านลบของรูปซายน์
แล้วเฉลี่ยค่าที่ยกกำลังสองทั้งหมด
และหาค่ารากที่สองของค่าเฉลี่ยนี้
นั่นคือค่าอาร์เอ็มเอส(RMS)
สับสนไหม?
ไม่ต้องไปสนใจคณิตศาสตร์หรอก
(มันดูซับซ้อนเกินความเป็นจริง)
เพียงยอมรับว่าค่าอาร์เอ็มเอส(RMS)ของแรงดันและกระแส
มีประโยชน์มากกว่าค่ายอด(peak)ก็พอ